วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

อานุภาพแห่งพระคาถาชินบัญชรแต่ละบท

อานุภาพแห่งพระคาถาชินบัญชรแต่ละบท 


               ก่อนอื่นต้องขอบพระคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านบทความฉบับนี้ เนื่องจากว่า ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้รับหนังสือสวดมนต์มาเล่มหนึ่งชื่อเรื่องว่า "พุทธฤทธิ์ ชินบัญชร" ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ เลี่ยงเชียง ในราคาเล่มละ 22 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงเลย และน่าสนใจทีเดียว โดยภายในหนังสือเล่มนี้จะเน้นไปในส่วนของ "พระคาถาชินบัญชร" เสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งอานิสงส์ของการสวดพระคาถาบทนี้ ประวัติความเป็นมาคร่าวๆ บทสวด และคำแปล เป็นต้น เอาล่ะ เราเกริ่นกันมาพอแล้ว
               วันนี้ก็จะมาเล่าถึง "อานุภาพแห่งพระคาถาชินบัญชรแต่ละบท" ให้ได้ทราบกัน โดยที่ประการแรก หากท่านใดที่ประสงค์จะ "อาราธนาสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)" ให้ปกป้องคุ้มครองตัวเอง ให้หมั่นสวดภาวนาในบทที่ 3

สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง
พุทโธ ธัมโม  ทะวิโลจะเน
สังโฆ  ปะติฏฐิโต มัยหัง
อุเร  สัพพะคุณากะโร.

ขออัญเชิญ "พระพุทธเจ้า" มาสถิตที่ศีรษะ
ขออัญเชิญ "พระธรรม" สถิตที่ดวงตาทั้งสอง 
ขออัญเชิญ "พระสงฆ ์" ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งความดีทุกอย่างมาสถิตที่อกขอข้าพเจ้า (ในที่นี้อนุมานถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต  พรหมรังสี))

               ประการที่ 2 สำหรับผู้ที่เป็นนักพูด นักแสดง หรือผู้ที่ต้องใช้ปาก ใช้วาทะศิลป์ในกิจการงานทั้งปวง แต่ต้องใช้วาทะศิลป์พูดแต่เรื่องที่ดีๆ เรื่องที่เป็นมงคล แนะนำให้ภาวนาในบทที่่ 7 

กุมาระกัสโป  เถโร
มะเหสี  จิตตะวาทะโก
โส  มัยหัง  วะทะเน  นิจจัง
ปะติฏฐาสิ  คุณากะโร.

ขอพระกุมารกัสสปเถระ ผู้แสวงบุญที่ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งคุณงามความดี มีวาทะไพเราะ นุ่มนวล ชวนฟัง ประดิษฐานที่ปากของข้าพเจ้า

               สำหรับประการที่ 3 ผู้ที่ปรารถนาเสน่ห์เมตตา มหานิยม ผู้ใดพบเห็นก็นิยมชมชอบด้วย ไม่ได้มีจิตคิดร้าย หรือปองร้ายต่อกัน ให้ภาวนาบทที่ 8 สำหรับใช้เสกน้ำล้างหน้าประจำวัน หรือ เสกแป้งเจิม 

ปุณโณ  อังคุลิมาโล  จะ
อุปาลี  นันทะสีวะลี
เถรา  ปัญจะ  อิเม  ชาตา
นะลาเฏ  ติละกา มะมะ.

ขออาราธณาพระเถระทั้ง 5 พระองค์ อันพร้อมด้วย "พระปุณณะ" "พระองคุลิมาล" "พระอุบาลี" "พระนันทะ" และ "พระสีวลี" จงปรากฏเป็น กระแจะจุณเจิมที่หน้าผากของข้าพเจ้า 

               ในบทต่อไป ผู้ที่ต้องเดินทางไกล หรือต้องกระทำการสิ่งใดที่มีความเสี่ยงต่ออันตราย ต้องการให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง ทั้งที่มองเห็นก็ดี มองไม่เห็นก็ดี ไม่ว่าจะมนุษย์ด้วยกันเองก็ดี หรืออมนุษย์ก็ดี ขอให้ท่านหมั่นเจริญภาวนาในบทที่ 9 

เสสาสีติ  มหาเถรา          วิชิตา  ชินะสาวะกา
เอตา (เอเต) สีติ  มะหาเถรา          ชิตะวันโต  ชิโนระสา            
ชะลันตา สีละเตเชนะ           อังคะมังเคสุ  สัณฐิตา.

พระมหาเถระที่เหลือจากที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้วนั้น เป็นผู้ชนะ ผู้เป็นสาวกแห่งพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงชัย พระมหาเถระทั้งหลายเหล่านั้น นับเป็นผู้มีชัย และ เป็นโอรสของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย เป็นผู้ที่รุ่งเรืองอยู่ด้วยศีล ขออาราธนาประดิษฐานที่อวัยวะน้อยใหญ่ของข้าพเจ้า

               ผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ เจ็บป่วยบ่อย ควรรักษาทางการแพทย์ควบคู่ไปกับการเสริมกำลังใจตัวเอง หมั่นเจริญภาวนาบทที่ 13 นี้ พร้อมทั้งทำจิตใจให้สงบ เพื่อเสริมกำลังใจในการป้องกัน และต่อสู้กับโรคภัย ไข้เจ็บทั้งปวง

อะเสสา  วินะยัง  ยันตุ
อะนันตะชินะเตชะสา
วะสะโต  เม  สะกิจเจนะ
สะทา  สัมพุทธะปัญชะเร.

ด้วยเดชานุภาพแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงชัย มีพระคุณต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ขอภยันตรายที่เหลือจงพินาศไป อนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในพระบัญชรแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะทำกิจใดๆ ขอให้สำเร็จทุกเมื่อเถิด

               เมื่อใดที่ท่านต้องการขวัญและกำลังใจ ขออาราธนาพระให้คุ้มครองตัวท่านเอง บทที่ 14 เป็นบทที่แนะนำให้ท่านเจริญภาวนา

ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ
วิหะรันตัง  มะหีตะเล
สะทา  ปาเลนตุ มัง  สัพเพ
เต  มะหาปุริสาสะภา.

ขอให้พระมหาบุรุษผู้องอาจทั้งปวงเหล่านั้น จงคุ้มครองข้าพเจ้าผู้อยู่ ณ ภาคพื้นในท่ามกลางแห่งพระชินบัญชรตลอดไป

               สมาธิเป็นสิ่งสำคัญไม่ว่าจะทำการอันใดก็ตาม ทั้งก่อนทำงาน ก่อนเริ่มเรียน จึงควรสงบจิตสงบใจให้เป็นสมาธิก่อน อาจเริ่มด้วยการตั้งจิตมั่น ภาวนาในบทที่ 5 ดังนี้

ทักขิเณ  สะวะเน  มัยหัง
อาสุง  อานันทะราหุโล (หุลา) 
กัสสะโป  จะ  มหานาโม
อุภาสุง  วามะโสตะเก.

ขออาราธนา "พระอานนท์" กับ "พระราหุล" ประทับอยู่หูด้านขวา และ "พระมหากัสสปะ" กับ "พระมหานามะ" ประทับอยู่ ณ หูซ้ายของข้าพเจ้า 


               ดังที่ได้กล่าวมานี้นั้น เป็นเพียงตัวอย่างที่ยกขึ้นมาให้ได้ทราบกัน เพราะเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อานิสงส์ หรือ อานุภาพ แห่งการสวดมนต์ เจริญภาวนานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่เพียงเฉพาะแต่พระคาถาบทนี้เพียงเท่านั้น แต่ในทุกๆ บทสวด ทุกๆ พระคาถาย่อมมีพระพุทธคุณ และจุดประสงค์ที่แตกต่างกันไป

               ท้ายนี้สำหรับผู้ที่สวด พระคาถาชินบัญชร จบแล้วนั้น พึงระลึกอยู่ไว้เสมอว่า เราได้อัญเชิญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณต่างๆ ให้มาสถิต ประดิษฐานในอวัยวะทุกๆ ส่วนของร่างกายเราแล้ว กายจึงเป็นกายที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นมงคล แม้จะเป็นกายหยาบก็ตาม เมื่อมีสิ่งที่เป็นมงคลเกิดขึ้นในร่างกายแล้ว สิ่งมงคลเหล่านั้นก็จะดึงดูดสิ่งที่ดี สิ่งที่เป็นมงคลอย่างอื่นให้ไหลรวมเข้าสู่ตัวเรา ทำให้ชีวิต พบเจอแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นเป็นมงคล สิ่งที่เจริญรุ่งเรือง แต่กระนั้นหากตัวผู้สวดเองประพฤติตัวไม่เหมาะสม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดก็ไม่อาจปกปักษ์รักษาได้ 

               มายาหงส์ดำ

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2561

คำคมฝากไว้ให้คิด



พระพุทธองค์ทรงตรัส...
          แม้นว่าบุคคลใดเอาพ่อแบกไว้บนไหล่ซ้าย
          เอาแม่แบกไว้บนไหล่ขวา
          วนรอบเขาพระสุเมรุ
          เป็นจำนวนหนึ่งแสนกัป
         จนไหล่ทั้งสองข้างบดเนื้อเถือกระดูก
          แทงกระฉุดถึงไขข้อ
          โลหิตไหลอาบท่วมถึงข้อเท้า 
          ก็มิอาจทดแทนพระคุณอันยิ่งใหญ่
          ของบุพการีได้...





ถ้าทำอะไรดีๆ แล้ว
คนมองว่าสร้างภาพ
ก็ช่างเขา
อย่างน้อยเราก็ได้ทำดี
ไม่เหมือนเขา ที่แค่คิดดี
ยังทำไม่ได้เลย...





คนเราเกิดมาชาตินี้
แม้มีทรัพย์สมบัติมากมายเพียงใด
ก็ไม่สามารถนำติดกายไปได้
ไม่ว่าจะคนจน คนรวย เด็กหรือผู้ใหญ๋
ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้ารออยู่
ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดพาต้นไม้ที่ใกล้ตาย
ไม่ยังตลิ่งฉันใด สัตว์มีชีวิตทั้งปวง
ย่อมถูกความแก่ และ ความตายพัดไปฉันนั้น...




โกรธเขา เราทุกข์
เกลียดเขา เราทุกข์
ไม่ชอบเขา เราทุกข์
อยากสบาย ให้ปล่อยวาง




เจ้าสวดมนต์...แต่นินทา
เจ้าทำทาน...แต่เอาเปรียบ
เจ้ามีความรู้...แต่ดูถูกคน
เจ้าตัวขาว...แต่ใจเจ้าดำ
เจ้ามีมิตรแท้...แต่เจ้าไม่แท้
เจ้าทำกุศล...แต่หมายชื่อเสียง
เจ้ามีทุกสิ่ง...แต่ไม่เคยแบ่งปัน
เจ้าดูแลคนอื่น...แต่ห่างเหินพ่อแม่
เจ้างดเนื้อสัตว์...แต่ข่มเหงเพื่อนมนุษย์
เจ้าหาตัวเองไม่เจอ...แต่กรรมหาเจ้าเจอ


มายาหงส์ดำ



วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560

นางครวญ

          เรื่องราวที่จะพาผู้อ่านจมดิ่งลึกสู่จินตนาการที่คุณเองยากที่จะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร เมื่อความรักแปรเปลี่ยนเป็นความชัง และนำไปสู่หายนะในที่สุด

          "นางครวญ" นวนิยาย หนึ่งใน 4 เล่มจากซีรีย์ดังชุด "4 ทิศตาย" (นางครวญ นางคอย นางแค้น และนางคุก)  ของนักเขียน "ภาคินัย"

          "รณภพ" ชายหนุ่มรูปงาม อาจารย์หมวดวิชาภาษาไทย ที่ได้รับเมล็ดพันธุ์แปลกประหลาดสีแดงเข็มราวกับสีของเลือดมา เมื่อเขาได้ปลูกมัน กลับพบว่ามันคือต้น "มักกะลีผล" ที่ให้ผลออกมาเป็นหญิงสาวรูปงาม ราวกับภาพวาดของนางในวรรณคดี เรื่องราวความวุ่นวายต่างๆ เกิดขึ้น ทั้งความรัก ความโกรธ ริษยา อาฆาต และโศกนาฏกรรมการสูญเสีย เมื่อชายหนุ่มหลงรักนางมักกะลีผลเข้าอย่างจริงจัง แต่ทว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ สัญชาติญาณของสัตว์ป่าปลุกเร้าในตัว สิ่งที่นางต้องการมิใช่ความรัก หากแต่เพียงแค่ต้องการสืบพันธุ์ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ของนางไว้ต่างหาก เมื่อมนุษย์ และสัตว์ป่าสมสู่ร่วมรักกัน ผลของการฝืนกฎแห่งธรรมชาตินี้ จะนำพาหายนะใดมาสู่ใครบ้าง และเรื่องราวทั้งหมดจะจบลงอย่างไร ใครที่ต้องตาย ใครที่สมควรตาย และเหตุการณ์ต่อไปในภายหน้าจะเป็นอย่างไร ลองหามาอ่านกันดูครับ

          ในส่วนของสำนวนการเขียนของผู้เขียน "ภาคินัย" นี้ผมบอกได้เลยครับว่า อ่านง่าย เข้าใจง่ายไม่มีอะไรซับซ้อนมากในตัวของเนื้อความ แม้จะสอดแทรก "บทร้อยกรอง"  ไว้ตลอดทั้งเรื่องก็ตาม แต่ภาษาที่ใช้ไม่ได้ยากเกินไปที่จะถอดความบทกวี และไม่ได้ยากเกินไปที่จะทำความเข้าใจครับ  คำหยาบมีบ้างในส่วนของ บทสนทนา แต่ก็เพื่อความสมจริง และ อรรถรสของเนื้อเรื่อง  และนอกจากนี้ยังมีสอดแทรกภาษา "คำเมือง" ในบทสนทนา เนื่องจากเนื้อเรื่องผู้เขียนเปิดเรื่องขึ้นในจังหวัด "เชียงใหม่" แต่แน่นอนครับการทำการบ้านมาดี ทำให้ไม่มีข้อติดขัดของการอ่านมากนัก มีวงเล็บแทรกเนื้อความภาษาไทยไว้ให้ตลอดที่มีบทสนทนาภาษา "คำเมือง"

          ส่วนการวางโครงเรื่องค่อนข้างน่าสนใจมากทีเดียว ไม่เก่าจนผู้ที่อ่านหนังสือมาหลากหลายคาดเดาสถานการณ์ได้ทั้งหมด แต่ก็ไม่ใหม่เสียทีเดียว เนื้อเรื่องกระชับครับ ไม่ยืดยาวจนง่วงเสียก่อนจะอ่านจบ มีการผูกโยงตัวละครค่อนข้างดีทีเดียว ไม่ทิ้งตัวละคร และ ตัวละครแต่ละตัวมีความสำคัญครับ แต่ละตัวล้วนเป็นปมของเรื่องที่ทำให้สนุก น่าติดมากมากขึ้นครับ มีการหักมุมในบางช่วงบางตอน เพิ่มอรรถรสดีครับ โดยรวมแล้วผลงานชิ้นนี้ค่อนข้างออกไปทางแนวตื่นเต้น ระทึกขวัญ เสียมากกว่าจะเป็นเรื่องผีครับ และหากคุณคาดหวังว่าจะพบฉากแฟนตาซี ปล่อยแสงกันฟิ้ว ฟ้าว ตลอดทั้งเรื่อง หรือใช้พลังจิตย้ายนู้น ย้ายนี่คุณก็คิดผิดครับ เต็มที่ก็เขี้ยว เล็บงอก มีแสงที่ตา ต้นไม้ชอนไชอย่างรวดเร็วแค่นั้นครับ ไม่มีผีโผล่ออกมา หรือหายตัวได้ทำนองนั้นนะครับ

          สำหรับ "นางครวญ" ผมขอบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งนวนิยายทางเลือกได้ดีครับ เพราะมีครบรสจริงๆ รัก โกรธ อิจฉา ริษยา ความเสียสละ และความระทึกขวัญ แต่ผมขอเตือนนะครับ ว่าคุณอย่าคิดจะอ่านเพื่อฆ่าเวลาเชียว คุณอาจตั้งเสียเวลาเพิ่ม เพราะวางมันไม่ลงทีเดียวครับ

          ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้รีวิวให้คุณได้อ่านมานี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง (ในฐานะนักอ่านคนหนึ่ง) ไม่ได้ต้องการจะ Discredit หรือ อวยหนังสือเล่มนี้แต่อย่างใด และอย่าเพิ่งเชื่อผมได้เสียทั้งหมด จนกว่าคุณมิตรรักนักอ่านทุกท่าน จะได้ทดลองอ่านเองครับ อีกประการหนึ่งผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้นครับ (ออกตังค์ซื้อเอง)




มายาหงส์ดำ

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สวด, สร้าง, สุข

          "ท่านทั้งหลาย ไม่มีอะไรดีไปกว่าการสวดมนต์ ไหว้พระ บำเพ็ญเพียรภาวนา อย่าให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
          สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ทั้งกินทั้งทา ท่านจะมีความสุขสบาย มีความสุขถึงลูกหลาน ทำอะไรก็สำเร็จเสร็จทันเวลา"


          (โอวาทธรรม...หลวงพ่อจรัญ ฐิตมฺโม)

ความสุขเกิดขึ้นได้อย่างไร?

          "การสวดมนต์" จะทำให้คนสวดมีความสุข เป็นความสุขทั้งกาย และใจ เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วสุขแน่นอน เพราะการสวดมนต์ คือ การสร้างสมาธิ นำไปสู่การมีสติแล้วยกระดับไปสู่ปัญญา พิจารณารู้เท่าทันตัวกิเลส โลภ โกรธ หลง แล้วก็จะไม่ถูกครอบงำ ปลอดความทุกข์ที่เกิดขึ้น เกิดการให้อภัยเป็น เกิดความเมตตากรุณา ทำให้เป็นคนคิดบวก

          การสวดมนต์จึงสามารถทำได้ ทุกเพศ ทุกวัย และทุกวันยิ่งดี ส่วนวิธีการที่จะสวดมนต์ให้ได้เกิดผลดีนั้น ถ้าได้ศึกษาให้เขาใจเรื่องราวความเป็นมา ความหมายของบทสวด ก็จะยิ่งสร้างศรัทธาความเชื่อมั่น ส่วนเวลาที่เหมาะสมนั้น ควรใช้เวลาไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมง และถ้าหากว่ามีการนั่งสมาธิหลังจากสวดมนต์จบแล้วได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความสงบแห่งจิตใจ

          สรุปแล้วการสวดมนต์นั้นทำให้คนสวดสุขทั้งกาย สุขทั้งใจอย่างแน่นอน พระท่านเรียกว่าเป็น "อานิสงส์" ก็คือ ประโยชน์ที่เกิดขึ้นนั้นเอง

วิธีปฏิบัติสมาธิเบื้องต้น

          ให้นั่งขัดสมาธิ คือ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวาทับมือซ้าย หงายฝ่ามือทั้งสองขึ้น นั่งตัวตรง หลับตา เอาสติมาจับอยู่ที่สะดือ ที่ท้องพองยุบ เวลาที่หายใจเข้าท้องพอง ให้กำหนดว่า "พองหนอ" ใจนึกกับท้องที่พอง ต้องให้ทันกัน อย่าให้ก่อน หรือ หลังกัน เมื่อหายใจออกท้องยุบ ให้กำหนดว่า "ยุบหนอ" ใจนึกกับท้องที่ยุบลง ต้องทันกัน อย่าให้ก่อน หรือหลังกัน

          ข้อสำคัญนั้น พยายามให้สติจับอยู่ที่พอง ยุบ เท่านั้น อย่าดูลมที่จมูก หรือตะเบ็งท้อง ให้ความมีรู้สึกที่เป็นจริงว่า ท้องพองไปข้างหน้า ท้องยุบมาข้างหลัง อย่าให้เห็นเป็นว่าท้องพองเป็นขึ้นข้างบน ท้องยุบลงข้างล่าง ให้กำหนดเช่นนี้ ตลอดไปจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนด

เมื่อมีเวทนา

          จะต้องมีบังเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติอย่างแน่นอน ซึ่งจะต้องมีความอดทน เพื่อเป็นการสร้างขันติบารมีด้วย ถ้าผู้ปฏิบัติขาดความอดทนเสียแล้ว ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนั้นก็ล้มเหลว ในขณะที่นั่ง หรือเดินจงกรมอยู่นั้น ถ้ามีเวทนา ความเจ็บ ความปวด ความเมื่อย คัน เกิดขึ้น ให้หยุดเดินก่อน หรือกำหนดยุบพอง ให้เอาสติไปตั้งไว้ที่เวทนาที่เกิด และกำหนดไปตามความเป็นจริงว่า
       
          ปวดหนอๆ ๆ ๆ

          เจ็บหนอๆ ๆ ๆ

          เมื่อยหนอๆ ๆ ๆ

          คันหนอๆ ๆ ๆ เป็นต้น

          ให้กำหนดไปเรื่อยๆ จนกว่าเวทนาจะหายไป และเมื่อเวทนานั้นหายไปแล้ว ก็ให้กำหนดนั่ง หรือ เดินต่อไป

          "จิต" เวลาที่นั่ง หรือเดินอยู่นั้น ถ้าหากจิตคิดถึงบ้าน คิดถึงทรัพย์สิน หรือคิดฟุ้งซ่าน ต่างๆ นานา ก็ให้เอาสตินั้นปักลงที่ลิ้นปี่ พร้อมกับกำหนดว่า คิดหนอๆ ๆ ๆ ไปเรื่อยๆ กระทั่งจิตจะหยุดคิด แม้แต่จะดีใจ เสียใจ หรือืโกรธ ก็ให้กำหนดเช่นเดียวกันว่า ดีใจหนอๆ ๆ ๆ เสียใจหนอๆ ๆ ๆ เป็นต้น

การให้ธรรมะ ชนะการให้ทั้งปวง

          พุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่ง ซึ่งเป็นที่คุ้นหูคุ้นใจคนจำนวนมาก คือบทที่ว่า... "สพฺิทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ" ซึ่งแปลความได้ว่า "การให้ธรรม ย่อมชนะการให้ทั้งปวง"

         เพราะพุทธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยนั้น มีศรัทธาเชื่อในคุณแห่งการธรรมเป็่นทาน จึงแม้จะสามารถก็จะพากันพิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทาน ซึ่งเชื่อว่าเหนือการให้ทั้งปวง ซึ่งจักเป็นบุญ เป็นกุศล ยิ่งกว่าบุญกุศลที่เกิดจากการให้ทานอื่นทั้งปวง

          นี้เป็นการถูก เป็นการดี เพราะเป็นการเผยแพร่ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นความดียิ่ง ยิ่งผู้ได้รับนำไปปฏิบัติก็จะยิ่งเป็นการดีที่สุด เพราะเป็นการปฏิบัติธรรม ทรงธรรม ตั้งอยู่ในธรรมเป็นการนำให้ถึงความสวัสดีโดยแท้จริง และไม่เพียงแต่เป็นความสวัสดีต่อตนเองเท่านั้น ยังสามารถแผ่ความสวัสดีให้กว้างไกลไปถึงผู้ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมากมาย

          กล่าวได้ว่าผู้มีธรรมเพียงคนเดียว ย่อมยังความเย็น ความสุข ให้เกิดได้เป็นอันมาก ตรงข้ามกับผู้ไม่มีธรรม...แม้เพียงคนเดียวก็ย่อมยังความร้อนความทุกข์ความร้อนให้เกิดขึ้นได้เป็นอันมาก

"ถ้าท่านมีทุกข์ ขอให้พ้นทุกข์ ถ้าท่านมีสุข ขอให้สุขยิ่งๆ ขึ้นไป"  


วันจันทร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2559

โรงเรียนนักเขียน



โรงเรียนนักเขียน

โดย เพลินตา

สำนักพิมพ์ บ้านหนังสือ


หลายคนฝันอยากเป็นนักเขียน และพยายามอย่างมากมายเพื่อที่จะก้าวเข้าสู่เส้นทางที่พวกเขาฝัน แต่สำหรับหลายคน การเป็นนักอ่าน ดูเหมือนจะเป็นเส้นทางที่ดีกว่าในสิ่งที่พวกเขาเลือก


แล้วคุณล่ะ ฝันอยากจะเป็นแบบไหน?


สำหรับหนังสือเรื่อง “โรงเรียนนักเขียน” เล่มนี้ อาจให้คำตอบคุณได้ หากคุณฝันอยากจะเป็นนักเขียนที่ดี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า หลังจากที่คุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้ว คุณจะสามารถเป็นนักเขียนได้เลย การเป็นนักเขียนที่ดีได้นั้น (ตามที่หนังสือบอกมานะ) คุณอาจยังต้องอาศัยอีกหลายองค์ประกอบด้วยกันในการสร้างสรรค์ผลงานของคุณออกมา


ผมได้หนังสือเล่มนี้มา ด้วยเหตุผลที่ว่า ผมเองก็อยากเป็นนักเขียนคนหนึ่งเช่นกัน (หลังจากที่เป็นนักอ่านมานาน) ผมคาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะบอกอะไรก็ตามอย่างที่ผมต้องการ เช่น ควรวางโครงเรื่องอย่างไร ควรเขียนอย่างไร เป็นต้น ซึ่งถ้าคุณคิดจะหยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพราะเหตุผลเดียวกับผม คุณอาจได้คำตอบ แต่...ไม่ทั้งหมด


จริงอยู่ครับที่หนังสือเล่มนี้มีหัวข้อเย้ายวนใจเสียเหลือเกิน (ในหน้าสารบัญ) ซึ่งอาจตรงตามที่คุณต้องการใคร่รู้ ไม่ว่าจะเป็นในบทของโครงเรื่อง ลักษณะของตัวละครที่คุณจะเขียนถึง ฉาก มุมมอง เป็นต้น (ยังมีอีกเยอะ แต่ผมไม่เขียนแล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นผมย่อหนังสือให้คุณอ่านกัน) ซึ่งผมพอจะสรุปคร่าวๆ กระตุ้นให้คุณๆ อยากอ่านกันได้ ประมาณนี้ (นะ)


อย่างในส่วนของบท "โครงเรื่อง" ที่จะบอกคุณว่า เวลาที่คุณจะเขียนนั้น คุณควรเลือกเรื่องราว (ที่จะเขียน) อย่างไร เนื้อหาของเรื่องควรจะเป็นอย่างไร ความสัมพันธ์ของโครงเรื่องนั้นควรมีความสมจริงมากน้อยแค่ไหน กฎ (ที่ไม่ตายตัว) ในการสร้างโครงเรื่อง หรือแม้กระทั่งการเขียนอย่างไรให้ดูมีความน่าติดตาม น่าสนใจจากผู้อ่าน


ลักษณะของตัวละคร ที่จะมีทั้งแบบ กลม และ แบน วิธีการในการพรรณนาเล่าถึงตัวละคร ให้มีความสมจริง ฉาก คุณควรเลือกอย่างไรให้สมจริง และสอดคล้องกับการกระทำของตัวละคร รวมไปถึงมุมมองในการเล่าเรื่อง ตัวละครที่แตกต่างกัน ย่อมมีมุมมองที่แตกต่างกันด้วย (จริงมั้ย?) เหล่านี้จะช่วยให้เรื่องที่คุณเขียน ดูมีมิติมากยิ่งขึ้น สร้างอารมณ์ความรู้สึกให้กับผู้อ่านได้ไม่มากก็น้อย


ซึ่งนี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ นะครับที่ผมจะเล่าให้ฟังกัน แต่ถ้าคุณหวังให้หนังสือเล่มนี้บอกคุณอย่างหมดเปลือกถึงวิธีการดำเนินรอยเพื่อเป็นนักเขียน ผมขอบอกเลยว่า คุณคิดผิดครับ!!!


เพราะที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้มา (ในมุมมองของนักอ่านคนหนึ่ง) หนังสื่อเล่มนี้ค่อนข้างทำความเข้าใจยากพอสมควรครับ อาจเพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสื่อที่ผ่านการรวบรวมมาจากบทความต่างๆ ทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนครับ การนำบทความมาจากต่างประเทศต้องผ่านการแปลมา เป็นความจริงอยู่ประการหนึ่งครับ ภาษาที่ใช้ผมขอบอกเลยว่า สละสลวยเป็นอย่างยิ่ง สวยจนบางครั้งก็ทำความเข้าใจยากในตัวมันเองสักเล็กน้อย


อีกทั้งยังมีการยกตัวอย่าง วกไป วนมา ยิ่งทำให้งงไปกันใหญ่ (ในบางบทความนะ) และตัวอย่างที่ยกขึ้นมานั้นถ้าคุณอ่านหนังสือมาไม่หลากหลายพอ (ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้น) คุณอาจเข้าใจยากแน่นอนครับ เพราะตัวอย่างที่หนังสือเล่มนี้หยิบยกขึ้นมา จะเป็นการกล่าวถึงเพียง ชื่อผู้แต่ง หรือ ชื่อเรื่องเพียงเท่านั้นครับ ถ้าหากคุณไม่เคยอ่านเล่มที่ยกตัวอย่างขึ้นมา แน่นอนคงเป็นการยากที่คุณจะเข้าใจว่าเนื้อเรื่องในหนังสือเล่มนั้นดีอย่างไร ทำไมผู้เขียน (บทความบทนั้น) ถึงหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง


และอีกประการหนึ่งคือ หนังสือเล่มนี้ให้น้ำหนักในการกล่าวถึง ยกตัวอย่าง และให้ข้อมูลในเชิงของการเขียน นิยาย หรือ นวนิยายค่อนข้างมากครับ และ มีผสมการเขียนเรื่องสั้นเล็กๆ น้อยๆ ในช่วงท้ายๆ เล่ม ไม่ค่อยจะมีการกล่าวถึงการเป็นนักเขียนในแนวอื่นๆ (สารคดี บทความ บทละคร ฯลฯ) เสียเท่าไหร่ เว้นเสียแต่คุณจะประยุกต์ใช้เอง (ในงานเขียนของคุณ) เพราะโดยหลักๆ แล้วงานเขียนมักมีพื้นฐานของโครงเรื่องมาจากสิ่งเดียวกันนั่นคือ วัตถุดิบครับ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ความรู้ การใช้ภาษา ฯลฯ


ทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้รีวิวให้คุณได้อ่านมานี้ เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผมเอง (ในฐานะนักอ่านคนหนึ่ง) ไม่ได้ต้องการจะ Discredit หนังสือเล่มนี้แต่อย่างใด และอย่าเพิ่งเชื่อผมได้เสียทั้งหมด จนกว่าคุณ (ที่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน) จะได้ทดลองอ่านเองครับ เพราะผมเชื่อว่าหากหนังสือเล่มนี้ ไม่มีดีพอ คงไม่ตีพิมพ์ถึง 9 ครั้ง และผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับหนังสือเล่มนี้ทั้งสิ้นครับ (ออกตังค์ซื้อเอง)


มายาหงส์ดำ






วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

Deja vu เดฌาวู...จิตสังหาร

เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2559 ผมได้มีโอกาส รับหนังสื่อเล่มนี้มาครับ "Deja vu เดฌาวู...จิตสังหาร" ของ Complicated ครับ จากร้านหนังสือเก่าร้านหนึ่ง บอกก่อนเลยนะครับว่าผมเองไม่ใช่คนชอบอ่านหนังสือประเภท เล่มเล็ก ๆ เท่าใดนัก แต่สำหรับหนังสือเล่มนี้ สะดุดตาผมเอามากๆ เนื่องจากตัวเล่ม เรียบง่ายครับ เป็นปกสี ดำ-แดง เหมือนปกหนังสือผู้ใหญ่ธรรมดา ไม่ได้วัยรุ่นจ๋า จนเกินไป

เอาละครับ เราเกริ่นกันเรื่องรูปเล่มภายนอกกันมาพอแล้ว...

สำหรับหนังสือเล่มนี้นะครับ บอกได้เลยว่า เนื้อเรื่องค่อนข้างกระชับครับ ไม่ยือยื้อมากจนเกินไป (เป็นดั่งที่ Complicated ได้คุยไว้) ลุ้นระทึกแทบทุกตอน ทุกบท ทุกหน้าครับ ชวนให้ติดตามต่อ ด้วยเนื้อเรื่องสั้น และ ความยาวมีไม่มาก (แค่ 245 หน้า) ทำให้ผมวางไม่ลงเลยทีเดียว

"นวนิยาย ระทึกขวัญ ตั้งแต่ต้นจนจบ..." คือคำโปรยที่ Complicated บอกไว้ เนื้อเรื่องเป็นแนว สืบสวนสอบสวนครับ แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตำรวจ และตัวเอกของเรื่องก็ เป็นเพียง กลุ่มนักเรียนธรรมดา ชั้นมัธยม 3 อายุ 15 ประกอบด้วย คามิยะ โนริโกะ ฮิเดโอะ  และ อากิระ ครับ เรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นบน เกาะแห่งหนึ่ง ซึ่งมีประวัติศาสตร์ เริ่มต้นจาก

"ปี 1980 เกาะแห่งนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก มีคนกลุ่มหนึ่งค้นพบเกาะที่ไม่ปรากฎบนแผนที่โลก และได้มีการย้ายถิ่นฐานประชาชนไปอาศัยอยู่บนเกาะจำนวนมาก 

ปี 1981 เมืองเป็นรูปร่าง เรื่องแปลกๆ เริ่มเกิดขึ้น ประชาชนกลุ่มหนึ่งลือกันว่า นอกจากพวกเขาที่อยู่เกาะนี้แล้วมีบางอย่างที่ผิดปกติรวมอยู่ด้วย

ปี 1982 ข่าวลือเรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่ว มีรายงานการพบเห็นมนุษย์ประหลาดตามอาคารบ้านเรือน ลักษณะเป็นเงาดำ ไม่ปรากฎร่างให้เห็นทั้งตัว แต่จะปรากฎเลือนลาง เห็นเพียงส่วนใด ส่วนหนึ่ง ผลผลิตของเมืองปีนี้ย่ำแย่

ปี 1983 จำเป็นต้องลักลอบนำผลผลิตข้ามาบนเกาะ ผู้นำของเกาะโดดอาคารตาย... เกิดการสังหารหมู่ในเมือง ดอกกุหลาบในเมืองเป็นสีดำ 

ปี 1984 การประมงย่ำแย่ พายุซัดเข้าฝั่งตลอดปี ผู้นำเกาะกลุ่มใหม่แย่งชิงอำนาจกันเอง มีผู้พบเงาร่างสีดำยืนอยู่กลางเมืองตอนดึก 

ปี 1985 ผู้คนในเมืองตายอย่างแปลกประหลาด ไร้ผู้นำหมู่บ้าน ชายลึกลับในชุดสูทสีดำ และหมวกทรงสูงสีเดียวกันปรากฎตัวขึ้น

ปี 1986 ชายใส่หมวกทรงสูงสีดำปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งในตอนกลางคืน เขาได้ฆ่าคนในหมู่บ้านอย่างเหี้ยมโหด มีตำนานเล่าว่าหากออกจากบ้านหลัง 4 ทุ่ม ทันทีที่เปิดประตูบ้านออกไป ก็จะพบชายในหมวกทรงสูงสีดำซ่อนอยู่ในเงามืดหน้าประตูบ้านเงื้อขวานขึ้นมา ยังมีการเล่าลือกันอีกว่า บางครั้งชายใส่หมวกทรงสูงสีดำก็เดินมาเคาะประตูบ้าน แล้วลงมือฆ่าคนในบ้านทิ้ง

ปี 1987 เกาะแห่งนี้กลายเป็นเกาะร้าง คนที่หนีไม่พ้นถูกฆ่าตาย"

บนความข้างต้นนั้น คัดลอกมาจากหนังสือ ซึ่งนั่นเป็นเพียงประวัติของเกาะที่ทุกคนรับรู้ และถูกส่งผ่านกันจากรุ่นสู่รุ่น แต่ทว่าความจริงกลับซ่อนอยู่อย่างมากมายภายในเกาะ เมื่อเหล่าตัวเอกของเรื่องค้นพบว่าสิ่งที่ถูกปลูกฝังมานั้น "เป็นเรื่องโกหกทั้งหมด" พวกเขาจำเป็นที่จะต้องไขปริษณาของเกาะให้ออก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป และเพื่อความอยู่รอดของพวกเขาเอง เมื่อพวกเขาพบว่ามีบางสิ่งกำลังตามล่าพวกเขาอยู่

ลองติดตามหาอ่านกันได้ครับ แล้วอาจวางไม่ลงกันเลยทีเดียว

โดยรวมแล้ว เนื้อเรื่องกระชับ ชวนติดตามดีครับ อีกทั้งผู้เขียนผูกโยงเรื่องได้น่าสนใจ มีการหักมุมตอนท้ายเรื่อง และให้แง่คิดในด้านของความรัก และการเสียสละ แต่กระนั้น ผู้เขียนค่อนข้างใช้ภาษาพูดบ่อยในการเขียน ซึ่งอาจเป็นข้อดี สำหรับนักอ่านที่เบื่อง่ายครับ เพราะภาษาการเล่าเรื่องค่อนข้างเป็นกันเอง คล้ายๆ กับการเล่าเรื่องปากเปล่า แต่ต้นเรื่องมีการทิ้งตัวละครบ้าง (กล่าวถึงว่าเป็นเพื่อนสนิทพระเอก แต่กลับทิ้งตัวละครไปดื้อๆ) แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค์ในการติดตามเนื้อเรื่องแต่อย่างใดครับ

และหากจะวิเคราะห์เนื้อเรื่องกันจริงๆ อาจพบว่ามีหลายจุด หลายช่วงที่ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลกันครับ อย่างเช่น บางฉากที่เป็นการต่อสู้กันของพระเอก กับ ชายใส่หมวกทรงสูง ซึ่งเพื่อนพระเอกคนหนึ่งได้ช่วยพระเอกไว้ได้ทัน แต่กลับมาเฉลยตอนท้าย ว่าเพื่อนพระเอกกับกลับเป็นชายใส่หมวกทรงสูงเสียเอง ซึ่งสร้างความสับสน และค้างคาให้ผู้อ่านไม่น้อย แต่ผมอยากให้มองในมุมมองของความบันเทิงครับ แล้วคุณจะอ่านหนังสือเล่มนี้อย่างได้อรรถรสทีเดียว...อย่าซีเรียส

ท้ายนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใดผมขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ใดๆ กับหนังสือเล่มนี้ เป็นเพียงผู้อ่าน ที่อยากแบ่งปันประสบการ์ณครับ

มายาหงส์ดำ




วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

๙ พระมหากษัตริย์ไทย พร้อมลำดับสายสกุลแห่งราชวงศ์จักรี

          อีกหนึ่งหนังสือเล่มดีๆ ที่น่าอ่าน สำหรับหนังสือเล่มนี้บล๊อกเกอร์ได้มาจากงานหนังสือ ปี 2557 นี้เอง ที่จัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตต์
          เป็นหนังสือกึ่งประวัติศาสตร์ที่ได้ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรีในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ต่างๆ ตั้งแต่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เรื่อยมา จนกระทั่งถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน เหตุการสำคัญๆ ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ไทยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 1 การสละซึ่งราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงพระราชกรณียกิจสำคัญๆ ต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในแต่ละพระองค์อีกด้วย ถึงแม้บางเรื่องจะเป็นประวัติศาสตร์เรื่องเดิมๆ ที่เรารู้ และเรียนกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว แต่ถ้าหยิบเอาองค์ความรู้เหล่านั้นมาปัดฝุ่นใหม่ แล้วหยิบมันขึ้นมาอ่าน เชื่อว่าคุณจะวางมันไม่ลงทีเดียวล่ะ
           สำหรับผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ คือ คุณ ศ. ปิยะกาญจน์ อธิบายไว้ได้เนื้อความกระชับ น่าสนใจดี ไม่ยืดยื้อจนเกินไป อ่านแล้วก็เข้าใจง่ายในระดับหนึ่ง แม้จะมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนลงไปบ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายจนผู้อ่านเกิดความตะขิดตะขวงใจอย่างใด
          ภายในหนังสือไม่ได้มีแต่เนื้อหาทางประวัติศาสตร์อย่างเดียวที่อัดแน่น แต่ยังมีรูปภาพสอดแทรกตลอด ทำให้การอ่านหนังสือกึ่งประวัติศาสตร์นี้ไม่น่าเบื่อมากนัก อีกทั้งยังมีการสอดแทรกเอกสารบทความต่างๆ ที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ไว้บ้าง เช่น (สำเนา) พระราชหัตถเลขาทรงสละราชสมบัติรัชกาลที่ 7 รวมไปถึง บทกวีนิพนธ์ที่พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ได้เคยทรงพระนิพนธ์ไว้ เป็นต้น นอกจากนี้ท้ายเล่มยังมีการเพิ่มเติมลำดับของสายสกุลแห่งราชวงศ์ไว้ด้วย
อย่างไรเสียหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้เป็นเพียงเล่มเดียวที่จะสามารถให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของพระมหากษัตริย์ไทยในราชวงศ์จักรีได้ ยังมีหนังสือสำคัญอีกมากมายที่สามารถให้ข้อมูลได้ดีเยี่ยมไม่แพ้กัน เพียงแต่ บล๊อกเกอร์นี้ขอนำเสนอหนังสือ "9 พระมหากษัตริย์ไทย พร้อมลำดับสายสกุลแห่งราชวงศ์จักรี" นี้ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก ของหนังสือดีๆ ที่น่าอ่าน
และหากมีข้อผิดพลาดประการใดบล๊อกเกอร์ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย ตัวบล๊อกเกอร์เองเป็นเพียงผู้อ่านคนหนึ่งที่อยากแบ่งปันประสบการณ์การอ่านให้แก่ผู้อ่านท่านอื่นๆ ด้วยกัน ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับ ผู้เขียนหนังสือ และ ผู้จัดพิมพ์แต่ประการใด
                                                        มายาหงส์ดำ